โรงงานผลิตเครื่องสําอาง
โรงงานผลิตเครื่องสําอาง ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่าผู้หญิงส่วนใหญ่แต่งหน้าลดลงเหตุเพราะจำเป็นที่จะต้องปกปิดเค้าหน้าด้วยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดช่วงเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าสำหรับผู้ประกอบกิจการเครื่องสำอางเป็นอย่างยิ่ง แต่รู้หรือเปล่าว่ามีเครื่องสำอางแบรนด์ไทยชื่อเรื่องหนึ่งที่สวนกระแสวิกฤตออกขอความกรุณาักส์ใหม่ในขณะโควิด-19 และสามารถขายหมดเกลี้ยงได้ข้างใน 1 สัปดาห์แค่นั้น ซึ่งเขาได้ออกสินค้าเกี่ยวกับการจัดแต่งทรงคิ้ว คอนซีลเลอร์ และสินค้าตกแต่งรอบดวงตาต่าง ๆ ซึ่งก็ขายหมดเกลี้ยงด้วยเช่นกันส่งผลให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพศหญิงทั่วโลกก็ยังคงจะควรจะเป็นที่จะดูดีตลอดช่วงเวลา
โดยประเทศไทยจัดว่าเป็นประเทศที่ส่งออกเครื่องสำอางมากที่สุดเกรด 2 ของอาเซียนและอยู่ในชั้นเชิงที่ 10 ของโลก
ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเคลื่อนการส่งออกให้ไทยเติบโตขึ้นอย่างในขณะนี้นี้ก็คือ ‘ความตกลงการค้าเสรี (FTA)’ ที่ช่วยกำจัดข้อขัดข้องเรื่องภาษีนำเข้าจากไทย นำมาซึ่งการทำให้ตอนนี้ไทยมี 14 ประเทศคู่เอฟทีเอ เป็นต้นว่า จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง และอาเซียน จะได้รับเว้นแต่การเก็บภาษีนำเข้าเครื่องสำอางของไทยทุกรายการ โรงงานผลิต เครื่องสําอาง ส่วนเกาหลีใต้ อินเดีย ซิลี และเปรู ยังอาจจะเก็บภาษีนำเข้าในบางรายการเท่านั้น
ในเวลาปี 2560-2562 ประเทศไทยส่งออกเครื่องสำอางไปยังประเทศคู่เอฟทีเอเฉลี่ยรวมปีละ 2,431 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สำหรับปี 2563 เหตุการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวบางส่วน ส่งผลให้ไทยส่งออกไปประเทศคู่ค้าได้มูลค่า 2,445 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 10% จากปี 2562 เนื่องจากก่อนหน้าที่ผ่านมาการส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไปประเทศคู่เอฟทีเอรวมกันในแต่ละปีจะมีสัดส่วนสูงยิ่งกว่า 80% ของการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางทั้งหมดทั้งมวล
สำหรับปี 2564 ในณ เวลา 2 เดือนแรก ไทยส่งออกเครื่องสำอางไปยังประเทศคู่เอฟทีเอราคา 388 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 2% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 แต่ยังมีผลิตภัณฑ์บางรายการที่ยังอาจโตขึ้นต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ๆ ตัวอย่างเช่น
สบู่ เติบโตขึ้น 3%
สินค้าชมแลเส้นผม โตขึ้นขึ้น 3%
สินค้าชมแลสุขรูปช่องปาก โตขึ้นขึ้น 12%
วัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องสำอาง เติบโตขึ้น 6%
สารให้กลิ่นหอม เติบโตขึ้น 21%
เอสเซนเซียลออยล์ โตขึ้นขึ้น 11%
รูปรวมตลาดเครื่องสำอางของไทยในปัจจุบันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน ๆ มาก็ถือได้ว่ายังโอเค คงจะจะบวก-ลบต่างกันบางส่วนเหตุเพราะไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูงเมื่อเปรียบกับคนซื้อในอาเซียน ซึ่งในขณะนี้ผู้ใช้โดยส่วนมากจะคัดสรรค์ซื้อเครื่องสำอางที่มีส่วนที่นำมาคลุกเคล้าเบา ๆ เพื่อจะให้รู้สึกสบายระหว่างสวมหน้ากาก ไม่เหมือนกับก่อนกำเนิดโควิด-19 ที่ชอบส่วนที่นำมาคลุกเคล้าเยอะ ๆ คาดว่าหากเหตุการณ์โควิดเริ่มต้นคลี่คลาย สินค้าความสวยงามและเครื่องสำอางจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากไม่ว่าอย่างไรผู้คนก็ต้องการภาพลักษณ์ที่ชมดีอยู่เสมอ
อยากมียี่ห้อเป็นของตนเอง สร้างค่าแรงจากเครื่องสำอาง สะดวกสบาย ทำอย่างไร มาชม
1. มีสินค้าสำหรับการสร้างยี่ห้อ
หาก “ต้องการมียี่ห้อเป็นของตน” เราก็ควรมีสิ่งที่จับจึงควรได้ก่อนนะคะ อย่างเช่น ตัวผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่พวกเรามีความถูกใจ-รักที่อยากจะทำ อาทิเช่น อยากสร้างยี่ห้อเครื่องสำอาง เนื่องมาจากเป็นคนชอบชมแลผิวหน้า หรือต้องการทำเนื่องจากว่าสนใจ ต้องการมีอาชีพเสริมสร้างค่าแรง อย่างนี้ก็ได้เหมือนกันเช่นเดียวกัน
ผลิตภัณฑ์ ODM เรียกโดยง่าย ก็คือ สูตรกฏเกณฑ์ของโรงงานผลิตครีม ผู้ซื้อแค่เพียงนำไปสร้างยี่ห้อต่อ ไม่จำเป็นที่จะต้องชุลมุนเรื่องคิดสูตร และ สูตร ODM ก็เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นสร้างยี่ห้อ หรือ มีงบจำกัดจ้ะ ส่วน สินค้า OEM คือ สูตรที่เราสามารถคัดเลือกได้ตามใจชอบว่าอยากใส่สารสกัด หรือ ส่วนผสมอะไรลงไปในเครื่องสำอางของพวกเราจ้ะ
2. มีสไตล์เป็นของตัวเอง
” แบรนด์ต้องบ่งชี้ออกถึงตัวตนของเจ้าของด้วยจ้ะ” ไม่น่าใช่แสดงตัวของผู้ใดดีก็นำมาไอเดียของเจ้าอื่น มาทำเป็นยี่ห้อของตนเองไปซะหมด แต่จำเป็นต้องมาจากตัวตนของคุณด้วย ที่นี่เราต้องการให้คุณทดสอบค้นหาตัวตนของคุณให้เหน้าจอว่า แท้จริงแล้วคุณถูกใจ หรือมีความสนใจอะไรกันแน่ ดังเช่นว่า อยากขายครีม แต่ก็จำเป็นจะต้องลงลึกอีกว่าอยากขายครีมอะไร ช่วยในเรื่องอะไร มีสไตล์ หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นยังไง ต้องการที่จะให้ภาพลักษณ์ยี่ห้อของคุณ ออกมาแนวไหน ทิศทางไหน จะน่ารัก หรือเฟียสๆ อะไรงี้
3. สร้างความต่าง
สำหรับท่านที่ต้องการมียี่ห้อเป็นของตนเอง จะต้องทำความรู้ความเข้าใจในดิ่งที่ก่อนนะคะว่า ผลิตภัณฑ์ในโลกนี้มีเป็นล้านๆ ประเภท ถ้ายี่ห้อของคุณเหมือนกับคนอื่นๆล่ะก็ มันจะไม่มีอะไรน่าดึงดูด บ้างมั๊ยน่าสนใจสำหรับผู้ใช้ค่ะ แต่หากแบรนด์ของคุณมีเอกลักษณ์ มีความไม่เหมือน เด่น ทำยี่ห้อดีๆ กำเนิด และปัง เป็นที่ความทรงจำได้แน่นอน
4. เคยชินกลุ่มวัตถุประสงค์
การผลิตแบรนด์เป็นของตนเอง พวกเราจำเป็นจะต้องทราบก่อนว่า “หมู่วัตถุประสงค์ของเราคือคนใด?” การทราบว่ากลุ่มจุดมุ่งหมายของคุณคือคนไหน เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่คุณต้องตอบคำถามข้อนี้ให้ได้ ด้วยเหตุว่าถ้าสินค้าของคุณดี แบรนด์ดี แต่ไม่ได้ตอบคำถามหมู่จุดหมาย หรือหมู่จุดมุ่งหมายมีปริมาณเล็กน้อยมาก ยี่ห้อของคุณก็มีโอกาสโตขึ้นน้อย
5. วิถีทางวิธีขาย
การมีแบรนด์เป็นของตน เราจึงควรทำความเข้าใจด้วยนะคะว่า จะขายทางออนไลน์ หรือจะขายผ่านหน้าร้านค้า หรือจะขายทั้งคู่หนทาง เมื่อมีวิถีทางวิธีขายแล้ว เทคนิคการขายก็จะตามมาค่ะ ซึ่งแต่ละช่องทางก็มีวิธีการจัดการขายที่แตกต่างกัน แต่ละช่องทางสร้างการรับรู้ที่ต่างกันด้วย ขั้นแรกพวกเราคงจะทดลองกระทำการตลาดผ่านทางออนไลน์ก่อน เพื่อจะสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภค นอกเหนือจากนั้นช่องทางออนไลน์ก็เป็นทางเลือกแนวทางการขายที่โดยไม่ต้องเสียเงินใช่มั้ยล่ะคะ ในตอนนี้ใครๆ ก็อยู่ภายในโลกออนไลน์กันทั้งนั้น หรือถ้าหากมีหน้าร้านรวง หรือทางเลือกการฝากขายด้วยอยู่แล้ว ก็ควรต้องอาศัยช่องทางหลาย วิถีทางในเวลาเดียวกันกันไปด้วย
6. หาข้อมูลให้มากๆ
เคยทราบสำนวนนี้กันใช่ไหมคะ รู้เขาทราบพวกเรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง การผลิตยี่ห้อเป็นของตนที่ดี คือต้องหาข้อมูลตลาด ข้อมูลคู่แข่ง ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ยิ่งเจาะลึกในรายละเอียดเท่าไร คุณก็ดูเป็นมืออาชีพมากเพียงแค่นั้น เนื่องจากว่าการที่คุณรู้ในสิ่งที่ลูกค้าไม่รู้ ผู้ซื้อไต่ถาม เราตอบได้ ก็เป็นการสร้างความเชื่อถือ ให้กับยี่ห้อของคุณเป็นอย่างดีค่ะ
7. ตรวจสอบตลาด
หากอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนไหน หมู่เขาควรจะเป็นอะไร มีอุปสรรคอะไรบ้าง อาจเป็นการไปพิจารณาการณ์เก็บข้อมูล ตรวจตราตลาดดูว่าเขาทำอะไร ทำยังไง ผลลัพธ์คืออะไร ได้แก่ ต้องการมีแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตน ก็จึงควรรู้ดีว่าหมู่เป้าหมายของเรามีปัญหาด้านอะไร เช่น มีข้อขัดแย้งใช้แป้งแล้วหน้าเยิ้ม ก็ควรจะเป็นใช้แป้งที่ช่วยในเรื่องของการปกปิด หรือคุมความมัน
8. มีความช่ำชองในการสื่อสาร
การที่คนพวกเราจะเก่งกาจได้ก็จำเป็นต้องอาศัยการฝึกหัดฝน คุณสามารถฝึกการกล่าวฝึกหัดการแจกแจง ฝึกบ่อยครั้งๆ ได้จ้ะ เมื่อถึงเวลาจำเป็นจะต้องแจกแจงให้คนซื้อ พวกเราก็จะสามารถชี้แจงได้ลื่นไหล แบบคนทราบจริง ชมน่าเคารพ อย่างนี้โดนใจผู้ใช้ ลูกค้าวางใจแน่ๆจ้ะ
9. ปรึกษาคนเก่ง-ผู้ที่มีความชำนาญ
“หากต้องการมียี่ห้อเป็นของตัวเอง ก็จำเป็นจะต้องอยู่ใกล้ผู้คนที่สร้างยี่ห้อเก่งๆ หรือผู้คนที่มีความสามารถ ความชำนาญ เนื่องด้วยเขาล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ย่อมทราบดีว่าอะไรควรจะทำ อะไรไม่ควรทำ”
และ พร้อมให้คำปรึกษาแก่คุณได้ ซึ่งคุณก็ควรต้องหาข้อมูล เพื่อที่จะการตัดสินใจว่าจะปรึกษาผู้ใดดี กล่าวง่ายๆ คืออยู่ใกล้คนเก่งเราก็เก่งตาม” กรณีที่ต้องการเป็นเจ้าของยี่ห้อครีม เสนอแนะให้ปรึกษา สร้างแบรนด์เครื่องสำอางกับตรงนี้ พวกเราสามารถสนทนา และ ปรึกษา CEO ได้โดยตรง ใช้เกณฑ์การผลิตแบบ GMPPlus + ให้บริการแบบ Brand Service+ เพื่อสร้างค่าตอบแทน และ สร้างแบรนด์ของผู้ใช้เอง
10. มีความแน่ใจ อย่ากลัวไปก่อน
ความกลัวทำให้คุณไม่กล้าลงมือปฎิบัติอะไร อยากเป็นเจ้าของยี่ห้อ อยากมียี่ห้อเป็นของตนเอง แต่ขาดความแน่ใจ การกลับความกลัวให้เป็นความกล้า ก็จำเป็นที่จะต้องพาตนเองทำความเข้าใจ หรือ ปรึกษากับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ความมั่นใจก็จะเริ่มเข้ามา ทำให้คุณเป็นเจ้าของแบรนด์ที่มีความรู้ความสามารถ ความเข้าใจได้นั่นเองค่ะ
สรุปปลดล็อกเจลแอลกอฮอลล์ เป็น“เครื่องสำอาง”
สืบเหตุเพราะวันที่ 13 กันยายน 2562 กระทรวงสาธารณสุขได้เคยประกาศให้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นองค์ประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับ (Alcohol-based Hand Sanitizer) เป็นต้นว่า โลชั่น ครีม เจล สเปรย์ เป็น “วัสดุแพทย์” ซึ่งจะควรมีมาตรฐาน และผู้สร้างจึงควรได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพ โดยจำเป็นต้องแถมยังมี เอทิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอล (Ethanol), ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์หรือไอโซโพรพานอล (Isopropanol) หรือเอ็น-โพรพิวแอลกอฮอล์ หรือเอ็น-โพรพานอล (n-Propanol) รวมกันอย่างต่ำ 70% โดยความจุ (v/v) หรือ 62.4% โดยน้ำหนัก (w/w)
ขณะปลายเดือน มกราคม 2563 โควิด-19 เริ่มระบาดมากขึ้น แต่ก็สามารถคุ้มครองได้อีกด้วยการล้างมือหลายครั้งๆ ด้วยสบู่ อย่าง 20 วินาที หรืออีกตัวคัดเลือกคือใช้เจลล้างมือแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 60-95% ส่วนกระบวนการทำความสะอาดพื้นผิวให้ใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นขั้นต่ำ 70% ตามคำแนะนำของ US CDC ก็ทำให้หลาย โรงงาน ทั้งโรงงานเครื่องสำอาง และเครื่องมือการแพทย์ผลิตออกมาขายเพื่อที่จะตอบโจทย์ในสิ่งที่ต้องการของลูกค้า ภายใต้มาตรฐานที่เป็นกฏเกณฑ์เดียวกับอุปกรณ์แพทย์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำได้ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ขาดตลาด
ส่งผลให้กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ตอนวันที่ 9 มี.ค. 2563 โดยฉบับแรกยกเลิกประกาศฉบับช่วงวันที่ 13 กันยายน 2562 และกำหนดให้เจลล้างมือเป็น “เครื่องสำอาง” ราวกับแบบเดิม เพื่อจะแก้ไขปัญหาที่ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ขาดตลาดในเวลาที่มีการระบาดของโควิด-19
ส่วนในฉบับที่ 2 เกิดเรื่องของการห้ามผลิต นำเข้า หรือขายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นต่ำลงมากยิ่งกว่า 70% เพื่อจัดการกับปัญหาที่พบว่าบางผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมามีส่วนที่นำมาผสมกันแอลกอฮอล์ต่ำลงยิ่งกว่าที่กระทรวงฯ เจาะจง นำมาซึ่งการทำให้ไม่สามารถที่จะฆ่าเชื้อได้ และนำมาซึ่งการทำให้มีการเข้าใจไม่ถูกนำไปใช้ตามสถานที่สาธารณะ และในชีวิตประจำวันเพื่อที่จะคุ้มครองปกป้องโรคสื่อสารต่างๆ